ที่มาและความหมายของสำนวนสุภาษิตและคำพังเพย
วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2561
วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2561
ที่มาและความหมายของสำนวน สุภาษิตและคำพังเพยไทย
1.
ที่มาและความหมายของสำนวน “ดาบสองคม”
สำนวน
“ดาบสองคม” มีความหมายว่า
สิ่งที่มีทั้งคุณและโทษในตัวเอง
ที่มาของสำนวน “ดาบสองคม”
มาจาก ดาบที่มีคมทั้งสองด้าน แม้จะเป็นอาวุธที่ร้ายกาจ สามารถใช้ฟันแทงได้ดี
แต่หากเกิดพลาดพลั้งหรือผู้ใช้ไม่มีความชำนาญเพียงพอ ก็อาจสร้างความบาดเจ็บให้กับผู้ใช้ได้เช่นกัน
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน
“การสอนเรื่องเพศศึกษาให้กับเด็ก ก็เหมือนดาบสองคมที่ทำให้เด็กเข้าใจ และรู้จักป้องกันตัวเอง แต่อีกด้านหนึ่งก็ทำให้เด็กเห็นช่องทางในการทำเรื่องที่ไม่สมควรได้มากขึ้น”
2.
ที่มาและความหมายของสำนวน “ปอกกล้วยเข้าปาก”
สำนวน
“ปอกกล้วยเข้าปาก” มีความหมายว่า
เรื่องง่าย ๆ ที่สามารถสะสางให้สำเร็จได้อย่างรวดเร็ว
ที่มาของสำนวน “ปอกกล้วยเข้าปาก” มาจาก
กล้วย ซึ่งเป็นผลไม้ที่ปอกเปลือกได้ง่ายกว่าผลไม้ชนิดอื่น ๆ ดังนั้น การกินกล้วยก็ทำได้อย่างง่ายดายเช่นกัน
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน
“เดี๋ยวนี้ต่อให้คนที่ไม่เคยทำอาหาร ก็สามารถทำอาหารได้ง่าย ๆ
เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก เพราะมีเครื่องปรุงอาหารสำเร็จรูปขายกันมากขึ้น”
3.
ที่มาและความหมายของสำนวน “มาเหนือเมฆ”
สำนวน
“มาเหนือเมฆ”
มีความหมายว่า
คิดหรือทำการสิ่งใดด้วยชั้นเชิงที่เหนือกว่าผู้อื่น
ที่มาของสำนวน “มาเหนือเมฆ” มาจาก
สำนวนที่มาจากความเชื่อโบราณว่า
ผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์สามารถเหาะเหินเดินอากาศเหนือเมฆได้
เป็นผู้มีสรรพวิชาความรู้เหนือกว่าผู้อื่น ดังนั้น จึงใช้เปรียบเทียบกับคนที่มีสติปัญญา
ความคิด หรือแผนการที่มีชั้นเชิงเหนือความคาดหมาย
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน
“โจรสมัยนี้มักจะมาเหนือเมฆ สรรหาวิธีการใหม่ ๆ ที่คาดไม่ถึงมาได้ตลอด เราจึงต้องคอยระวังตัวเองให้มากขึ้น
เพื่อลดช่องโหว่ที่อาจเป็นโอกาสให้โจรเข้ามาปล้นได้”
4.
ที่มาและความหมายของสุภาษิต “เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน”
สุภาษิต “เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน”
มีความหมายว่า พยายามเก็บหอมรอมริบ เก็บเล็กผสมน้อย
จนสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
ที่มาของสุภาษิต “เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน”
มาจาก “เบี้ย”
ในที่นี้หมายถึง เบี้ยจั่น ซึ่งเป็นเงินตราในสมัยโบราณ
เวลาซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันตามตลาดอาจมีคนทำเบี้ยตกไว้แต่ไม่มีใครสนใจเพราะมีราคาต่ำ ในทางกลับกันหากเก็บสะสมเบี้ยไว้จำนวนมาก ๆ
ก็อาจกลายเป็นสิ่งมีค่าขึ้นมาได้
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน
“ใครจะรู้ว่าธุรกิจเก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน
แบบเคาน์เตอร์เซอร์วิสที่ให้บริการรับชำระค่าสินค้าและบริการ ที่เก็บค่าบริการทีละ
10-15 บาท สุดท้ายจะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำขนาดนี้”
5.
ที่มาและความหมายของสุภาษิต “น้ำขึ้นให้รีบตัก”
สุภาษิต “น้ำขึ้นให้รีบตัก”
มีความหมายว่า ให้รีบไขว่คว้าโอกาสที่กำลังมาถึง
ที่มาของสุภาษิต “น้ำขึ้นให้รีบตัก”
มาจาก วิถีชีวิตของคนไทยที่ผูกพันอยู่กับสายน้ำ เนื่องจากสมัยก่อน
เราจะใช้น้ำจากแม่น้ำลำคลองในการดำเนินชีวิต ทั้งหุงหาอาหาร ดื่มกิน
เวลาน้ำขึ้นเปี่ยมฝั่งก็จะใสสะอาด ผู้คนจึงมักฉวยโอกาสตักน้ำไปเก็บไว้ใช้สอย แต่เมื่อน้ำลงก็จะขุ่นและตักได้ยาก
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน
“ตอนนี้สินค้าของบริษัทเรากำลังเป็นที่นิยม เป็นที่ต้องการของตลาดมาก
โอกาสมาถึงแล้วน้ำขึ้นให้รีบตัก เพราะฉะนั้น เราต้องฉวยโอกาสนี้ไว้ด้วยการเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าให้ได้ตามความต้องการของลูกค้า”
6.
ที่มาและความหมายของคำพังเพย “ขี่ช้างจับตั๊กแตน”
คำพังเพย “ขี่ช้างจับตั๊กแตน” มีความหมายว่า
ลงทุนลงแรงมาก แต่ได้รับผลตอบแทนเพียงน้อยนิด
ที่มาของคำพังเพย “ขี่ช้างจับตั๊กแตน”
มาจาก ตั๊กแตนเป็นแมลงตัวเล็ก ๆ
ที่กระโดดได้ไกลและรวดเร็วมาก การขี่ช้างเพื่อไปจับตั๊กแตน
จึงเป็นการลงทุนลงแรงอย่างมหาศาล ทำใหญ่โตเกินความจำเป็น
แต่ผลประโยชน์ที่ได้ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนลงแรงนั้น
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน
“เธอลงทุนเหมาร้านอาหารจัดงานวันเกิด เพียงเพราะอยากเจอเพื่อน ๆ แค่นี้ ฉันว่าเธอกำลังขี่ช้างจับตั๊กแตนอยู่นะ”
7.
ที่มาและความหมายของคำพังเพย “เข็นครกขึ้นภูเขา”
คำพังเพย “เข็นครกขึ้นภูเขา” มีความหมายว่า
ทำงานที่ยากลำบากอย่างยิ่ง ต้องใช้ความเพียรพยายามและอดทนอย่างมาก
ซึ่งบางทีอาจเกินกำลังความสามารถหรือสติปัญญาของตน
ที่มาของคำพังเพย “เข็นครกขึ้นภูเขา”
มาจาก ครกที่ใช้ตำข้าวในสมัยก่อน มีขนาดใหญ่และหนัก
ทำจากไม้ทั้งต้น ขุดเอาเนื้อในออกให้เป็นหลุมลึก อาจเรียกว่า
ครกกระเดื่องหรือครกซ้อมมือ ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้
การเข็นครกขึ้นภูเขาที่มีความลาดชัน จึงเป็นสิ่งที่ยากลำบากเป็นอย่างมาก
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน
“ก่อนคุณจะรับงานก็ควรดูให้ดีก่อน ไม่ใช่รับมาแล้วกลายเป็นว่า
เข็นครกขึ้นภูเขา สุดท้ายโดนครกกลิ้งทับตัวตาย มันจะแย่เอา”
8.
ที่มาและความหมายของคำพังเพย “คางคกขึ้นวอ”
คำพังเพย “คางคกขึ้นวอ” มีความหมายว่า
ผู้ที่มีฐานะต่ำต้อย พอได้ดิบได้ดีแล้วมักแสดงกิริยาอวดดี ลืมตัว
ที่มาของคำพังเพย “คางคกขึ้นวอ” มาจาก
“วอ” คือ พาหนะลักษณะรูปเรือนมีหลังคาทรงจั่ว
มีคานอยู่ข้างใต้เพื่อให้คนหามใช้สำหรับเจ้าขุนมูลนายหรือข้าราชการฝ่ายใน
ถึงแม้คางคกจะขึ้นนั่งบนวอที่ทรงเกียรติ แต่ก็ไม่สามารถลบล้างความอัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวของตัวมันได้
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน
“ดาราคนนี้ถูกมองว่าเป็นคางคกขึ้นวอ เมื่อก่อนเคยอยู่ในสลัม พอได้มาเป็นดาราดัง
ได้ดีแล้วท่าทีก็เปลี่ยนไป ทำตัวเรื่องมาก ดูถูกคนอื่นเสมอ ๆ ”
9.
ที่มาและความหมายของคำพังเพย “โค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ”
คำพังเพย “โค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ” มีความหมายว่า
ทำลายล้างสิ่งไม่ดีหรือสิ่งชั่วร้ายให้หมดสิ้น
ที่มาของคำพังเพย “โค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ” มาจากธรรมชาติของต้นกล้วยที่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ถึงจะตัดลำต้นทิ้งไป แต่หน่อของมันก็สามารถเจริญเติบโตขึ้นใหม่ได้ ถ้าหากจะโค่นต้นกล้วยก็ควรขุดรากถอนโคน
อย่าเหลือหน่อทิ้งไว้
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน
“พวกค้ายาเสพติดมักจะทำกันเป็นขบวนการขนาดใหญ่ หากคิดจะกวาดล้างก็ต้องทำให้สิ้นซาก
ถึงต้นตอผู้บงการและพรรคพวกทั้งหมด เหมือนโค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ”
10.
ที่มาและความหมายของคำพังเพย “จระเข้ขวางคลอง”
คำพังเพย “จระเข้ขวางคลอง”
มีความหมายว่า ผู้ที่คอยกันท่าหรือขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นทำสิ่งที่ปรารถนาได้โดยสะดวกราบรื่น
ที่มาของคำพังเพย “จระเข้ขวางคลอง”
มาจาก ในสมัยก่อน
คนไทยนิยมเดินทางไปมาหาสู่กันโดยล่องเรือไปตามแม่น้ำลำคลอง
หากระหว่างทางเกิดพบเห็นจระเข้ที่เป็นสัตว์ร้ายปรากฏตัวขึ้น ก็กลัวเกรง ไม่กล้าที่จะเดินทางต่อไปให้ถึงจุดหมาย
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน
“คนใช้รถสมัยนี้ทำอะไรเอาแต่ความสะดวกของตัวเอง อยากจอดรถตรงไหนก็จอด
ทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลอง โดยไม่คิดว่ามันทำให้การจราจรติดขัด”
11.
ที่มาและความหมายของคำพังเพย “จับปลาสองมือ”
คำพังเพย “จับปลาสองมือ” มีความหมายว่า
ผู้ที่มุ่งหวังอยากได้สิ่งใดหรือทำการใด ๆ ทีเดียว พร้อมกันทั้งสองอย่าง โดยไม่คำนึงถึงความสามารถของตนว่าจะทำได้หรือไม่
ที่มาของคำพังเพย “จับปลาสองมือ” มาจาก
ธรรมชาติของปลาจะมีผิวลื่น จับได้ยาก
หากจะจับให้มั่นต้องใช้มือทั้งสองช่วยประคองไว้
แต่หากโลภมากจับปลาพร้อมกันสองตัวในครั้งเดียว ก็อาจลื่นหลุดมือไปหมด
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน
“ที่เขาโดนแฟนบอกเลิกก็สมควรแล้ว ทำเป็นจับปลาสองมือ คบผู้หญิงคนอื่นไปด้วย สุดท้ายก็ไม่ได้สักคน”
12.
ที่มาและความหมายของคำพังเพย “จับปูใส่กระด้ง”
คำพังเพย “จับปูใส่กระด้ง” มีความหมายว่า
ยากที่จะทำให้อยู่นิ่ง ๆ ได้
ที่มาของคำพังเพย “จับปูใส่กระด้ง” มาจาก
ธรรมชาติของปูมักไม่อยู่นิ่ง ถ้านำปูใส่กระด้ง
ซึ่งเป็นภาชนะที่ไม่มีความลึกแล้ว ยิ่งยากที่จะใส่ปูจนเต็มกระด้งได้
มักใช้พูดในบริบทของการกล่าวถึงเด็ก ๆ ที่ซุกซนมาก อยู่นิ่งไม่ได้
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน
“งานประกวดการแสดงของเด็กอนุบาล ทำให้ครูหลายคนเหนื่อยไปตาม ๆ กัน กว่าจะเป็นแบบนี้ได้ก็เหมือนตามจับปูใส่กระด้ง
เด็ก ๆ วิ่งกันให้วุ่นไปหมด”
13.
ที่มาและความหมายของคำพังเพย “ตีปลาหน้าไซ”
คำพังเพย “ตีปลาหน้าไซ” มีความหมายว่า
พูดหรือทำให้กิจกรรมของผู้อื่นที่กำลังดำเนินไปได้ด้วยดีเสียหาย
ที่มาของคำพังเพย “ตีปลาหน้าไซ” มาจาก
“ไซ” คือเครื่องสานชนิดหนึ่ง
ใช้สำหรับดักปลาบริเวณน้ำตื้น แต่เวลาดักปลาแล้วปลากำลังจะติดเข้าไซ
กลับตีน้ำหน้าไซให้กระเพื่อม ทำให้ปลาตกใจและพากันหนีไปหมด
ผลประโยชน์หรืองานที่กำลังจะไปได้ด้วยดีก็เสียเปล่า
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน
“ถ้าจะแข่งขันธุรกิจกันก็ไม่ควรจะ ตีปลาหน้าไซ มันดูเหมือนคนเห็นแก่ตัว
แทนที่จะสร้างมิตรกลับสร้างศัตรูแทน”
14.
ที่มาและความหมายของคำพังเพย “ทำนาบนหลังคน”
คำพังเพย “ทำนาบนหลังคน” มีความหมายว่า
ผู้ที่คิดแสวงหาผลกำไรหรือผลประโยชน์ด้วยการเบียดเบียนผู้อื่นอย่างไร้ความเมตตา
ที่มาของคำพังเพย “ทำนาบนหลังคน”
มาจาก คำโบราณ
เนื่องจากในสมัยก่อนพ่อค้าคนกลางจะติดต่อซื้อข้าวจากชาวนาในราคาถูก
แต่เอาไปขายต่อในราคาแพง โดยที่ตนไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไร
มักใช้ในบริบทของการถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ที่มีฐานะสูงกว่า
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน
“พวกที่ปล่อยเงินกู้ง่าย ๆ ส่วนใหญ่ก็ทำนาบนหลังคนทั้งนั้น ปากก็บอกว่าจ่ายดอกก่อนก็ได้
แต่สุดท้ายเงินต้นก็ไม่ยอมลดให้เสียที”
15.
ที่มาและความหมายของคำพังเพย “น้ำกลิ้งบนใบบอน”
คำพังเพย “น้ำกลิ้งบนใบบอน” มีความหมายว่า
เป็นคนกลับกลอก โลเล เชื่อถือไม่ได้
ที่มาของคำพังเพย “น้ำกลิ้งบนใบบอน” มาจาก
ธรรมชาติของใบบอนจะไม่ซับน้ำ ทำให้เราเห็นหยดน้ำกลม ๆ เคลื่อนไปมา
มักใช้ในบริบทของการพูดตำหนิ
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน
“จะมีใครที่ไหนให้ความจริงใจกับคุณ เพราะในเมื่อคุณก็โลเล พูดจากลับกลอก เป็นพวกน้ำกลิ้งบนใบบอนเหมือนกัน”
16.
ที่มาและความหมายของคำพังเพย “ปลาหมอตายเพราะปาก”
คำพังเพย “ปลาหมอตายเพราะปาก” มีความหมายว่า
ผู้ที่ชอบพูดโดยไม่รู้จริง หรือพูดจาอวดดี จนต้องได้รับความเดือดร้อนเพราะคำพูดของตนเอง
ที่มาของคำพังเพย “ปลาหมอตายเพราะปาก” มาจากธรรมชาติของปลาหมอมักผุดขึ้นมาฮุบเหยื่อเหนือผิวน้ำบ่อย ๆ
จนเป็นที่สังเกตเห็นของนักตกปลาและสามารถดักทางปลาหมอได้ถูก
เมื่อนำเหยื่อไปล่อ
จึงทำให้ตกปลาหมอได้ทุกครั้ง
เหมือนว่าปลาหมอต้องตายเพราะการกระทำของมันเองโดยที่มันไม่รู้ตัว
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน
“พนักงานคนนั้นถูกพักงาน เพราะไปนินทาลูกค้าให้เพื่อนร่วมงานฟัง แต่ลูกค้าบังเอิญมาได้ยิน
เรื่องจึงไปถึงผู้จัดการ ปลาหมอตายเพราะปากจริง ๆ ”
17.
ที่มาและความหมายของคำพังเพย “ผักชีโรยหน้า”
คำพังเพย “ผักชีโรยหน้า” มีความหมายว่า
การทำความดีเพียงผิวเผิน หรือทำดีเพื่อหลอกให้ผู้อื่นเห็นว่างานนั้นสำเร็จลุล่วงอย่างสมบูรณ์
ที่มาของคำพังเพย “ผักชีโรยหน้า” มาจาก
ผักชี เป็นพืชที่มีกลิ่นฉุนใช้แต่งกลิ่นอาหารให้น่ารับประทาน
มักใช้ในบริบทของการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างดีเพียงเล็กน้อย
เพื่อเป็นฉากหน้าปกปิดเบื้องหลังบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ดีหรือที่ยังไม่สมบูรณ์ไว้
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน
“พอรู้ว่าหัวหน้าจะมาพวกเขาก็พากันเอาผักชีโรยหน้าเหมือนกับว่าตั้งใจทำงานทั้ง
ๆ ที่ปกติเช้าชามเย็นชาม”
18.
ที่มาและความหมายของคำพังเพย “รีดเลือดกับปู”
คำพังเพย “รีดเลือดกับปู” มีความหมายว่า
บังคับเคี่ยวเข็ญเอากับผู้ที่ไม่สามารถให้สิ่งนั้น ๆ ได้
ที่มาของคำพังเพย “รีดเลือดกับปู” มาจาก
ธรรมชาติของปูไม่มีเลือด
การหวังจะรีดเค้นเอาเลือดจากปูจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
มักใช้ในบริบทของการรีดไถเงินกับผู้ยากจน หรือการเค้นเอาความลับบางอย่างกับผู้ที่ไม่รู้
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน
“เจ้าของหอพักนักศึกษาที่นี่รีดเลือดกับปูสุด ๆ อาศัยช่วงจังหวะน้ำท่วม
ขึ้นราคาค่าเช่าหอพักแบบขูดเลือด ขูดเนื้อ ไม่เห็นใจนักศึกษาที่ไม่มีรายได้เลย”
19.
ที่มาและความหมายของคำพังเพย “วัดรอยเท้า”
คำพังเพย “วัดรอยเท้า” มีความหมายว่า
เทียบดูว่าพอสู้เขาได้หรือไม่
ที่มาของคำพังเพย “วัดรอยเท้า” มาจาก
วรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ ตอนทรพีฆ่าทรพา
โดยทรพีอาศัยการวัดรอยเท้าดูว่าตนตัวใหญ่พอที่จะต่อกรกับทรพาผู้เป็นพ่อได้หรือยัง มักใช้ในบริบทที่กล่าวถึงการ
อวดดีกับผู้มีอำนาจ หรือลบหลู่ผู้มีพระคุณ
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน
“ตอนนี้เขาก็เป็นเหมือนลูกศิษย์ที่คอยแต่จะวัดรอยเท้าครู พยายามชิงดีชิงเด่น
แสดงให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองมีความสามารถเหนือกว่าครู โดยไม่มีความเคารพครู
แบบนี้จะเจริญได้อย่างไร”
20.
ที่มาและความหมายของคำพังเพย “หนูตกถังข้าวสาร”
คำพังเพย “หนูตกถังข้าวสาร” มีความหมายว่า
ชายที่มีฐานะยากจนได้แต่งงานกับหญิงสาวฐานะร่ำรวย
ที่มาของคำพังเพย “หนูตกถังข้าวสาร” มาจาก
ข้าวสารเป็นอาหารที่หนูชอบกิน เมื่อหนูตกลงในถังข้าวสาร ย่อมแวดล้อมบริบูรณ์ไปด้วยอาหาร
ไม่ต้องทนอดอยากหิวโซอีก เปรียบกับชายที่ได้ภรรยาร่ำรวย ก็พลอยได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปด้วย
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน
“นายเข้มนี่เป็นหนูตกถังข้าวสารชัด ๆ ได้แต่งงานกับคนรวย ทั้งๆที่บ้านฐานะยากจน
ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหาร อยู่ ๆ ก็มีผู้หญิงรวย ๆ มาชอบพออีก
อะไรจะโชคดีขนาดนั้น”
บรรณานุกรม
ชิดพงษ์ กวีวรวุฒิ. (2553).
๕๕๐ สำนวน สุภาษิต คำพังเพยไทย สอนใจเด็กดี. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์เอ็ม
ไอเอส.
จัดทำโดย
นายเถลิงศักดิ์ อุดม รหัส 5941010003
นางสาวปรัศนีย์ คำสุดแสง รหัส 5941010026
คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย
มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)